REGISTRATION (จดทะเบียนธุรกิจ)

5 เรื่องที่ต้องทำหลังจัดตั้งบริษัท !!

1.จัดให้มีผู้ทำบัญชี

              ตามกฎหมายระบุไว้ว่า ธุรกิจที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว มีหน้าที่จัดทำบัญชีและงบการเงิน ให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีโดยผู้ทำบัญชีของบริษัท จะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตาม พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 ซึ่งอาจเป็นพนักงาน ผู้รับจ้างทำบัญชี ที่ได้รับอนุญาตและขึ้นทะเบียนผู้ทำบัญชีกับสภาวิชาชีพบัญชีและกรมพัฒนาธุรกิจอย่างถูกต้อง


2.จัดทำบัญชีของบริษัท

          การจัดทำบัญชี จะต้องจัดทำบัญชีรายวัน บัญชีแยกประเภท บัญชีสินค้า และบัญชีประเภทอื่น ซึ่งการจัดทำบัญชีตามประเภทเหล่านี้จะต้องทำให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง โดยผู้ประกอบการต้องรวบรวมรวมทั้งบิลซื้อ – บิลขาย และเอกสารประกอบการลงบัญชีทุกรายการให้ครบถ้วน นำส่งให้พนักงานบัญชี หรือ สำนักงานบัญชีเพื่อดำเนินการลงบัญชีและปิดบัญชีตามรอบเวลา

          โดยต้องปิดบัญชีครั้งแรกภายใน 12 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มต้นทำบัญชี และดำเนินการปิดบัญชีทุกรอบ 12 เดือน นับตั้งแต่วันปิดบัญชีครั้งแร

 

3.จัดให้มีผู้สอบบัญชี
          เพื่อตรวจสอบงบการเงิน และนำส่งงบการเงินที่ได้รับการตรวจสอบแล้วให้แก่ผู้ถือหุ้น เพื่ออนุมัติในการประชุมผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ภายใน 4 เดือนนับแต่วันที่ปิดบัญชี

4.จัดทำงบการเงิน

           จะต้องจัดทำตามรอบบัญชีของบริษัท และงบการเงินของบริษัทจะต้องมีผู้สอบบัญชี เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของงบการเงิน ที่จะต้องนำไปใช้ยื่นในที่ประชุม และยื่นงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และนำส่งภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติงบการเงินจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น

          นอกจากนี้ ยังต้องนำส่งงบการเงินและยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภงด. 50) ต่อกรมสรรพากรด้วย

 

5.ยื่นภาษีต่อกรมสรรพากร

 

         สำหรับธุรกิจที่จดทะเบียนบริษัทในรูปแบบนิติบุคคล มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล และเสียภาษีตามกฎหมาย อย่างน้อยผู้ประกอบการก็จะต้องรู้ภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราด้วย โดยภาษีที่เกี่ยวข้องหลัก ๆ ได้แก่

 

  • ภาษีเงินได้นิติบุคคล
  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • ภาษีอื่นๆ เช่น ภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ เป็นต้น

 

         อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นหลักๆ ที่ผู้ประกอบการต้องรู้และต้องท แต่ก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ  เช่น กรณีมีการจ้าง
พนักงานตั้งแต่ 1 คนขึ้นไปจะต้องมีการแจ้งขึ้นทะเบียนนายจ้าง และ ลูกจ้าง กับประกันสังคม ด้วยเป็นต้น

                               STARTUP vs SMEs แตกต่างกันยังไง??                       

ถึงแม้ว่า Startup กับ SME เป็นธุรกิจขนาดเล็กเหมือนกัน และคนมักจะเข้าใจผิดและมองว่า คือธุรกิจประเภทเดียวกันอยู่บ่อยครั้ง แต่จริงๆแล้ว ก็มีความแตกต่างกันนะคะ

 

SMEs กับ Startup แตกต่างกันอย่างไร?? 
1. รูปแบบธุรกิจ

SMEs   : ธุรกิจที่ผลิตสินค้าหรือบริการ โดยต่อยอดจากสินค้าหรือบริการเดิมที่มีอยู่แล้ว โดยใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่เดิม แต่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อการแก้ไขปัญหาหรือพึ่งพานวัตกรรมในการริเริ่มใหม่ และไม่ได้ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเกิดการเปลี่ยนแปลง

Startup : ธุรกิจที่มุ่งเน้นแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งด้วยวิธีใหม่ๆ ต้องใช้ไอเดียหรือคิดค้นสิ่งใหม่ โดยใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ หรือ อาจมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย คอยปรับตัวตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และต้องสร้างสินค้าที่คนส่วนใหญ่ต้องการหรือทำให้คนใช้ชีวิตง่ายขึ้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่และเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คน

2. ขนาดองค์กร

SMEs   :  มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี นั่นจึงทำให้ขนาดของ SME ถูกจำกัดไปด้วย

Startup : ไม่ได้จำกัดว่าต้องมีขนาดเล็กเสมอไป บางกิจการอาจจะเริ่มจากขนาดเล็กไป แต่พอทำไป ทำไป เกิดความสำเร็จ ก็จะมีขนาดใหญ่มากขึ้น ซึ่งก็จะไม่มีการจำกัดรายได้

3. แหล่งเงินทุนที่ใช้เริ่มต้นธุรกิจ 

SMEs    : เงินลงทุนมาจากทุนส่วนตัวหรือจากการกู้เงินจากสถาบันการเงิน

Startup : เงินลงทุนมาจากการระดมทุน อาศัยการลงทุนร่วม โดยหากมีไอเดียดีๆ นักลงทุนมีความสนใจในตัวธุรกิจดังกล่าวก็จะลงทุนให้ก่อน เพื่อผลประโยชน์ในอนาคต

4. การเติบโตของธุรกิจ

SMEs :   เติบโตแบบคงที่ และอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสำเร็จ

เนื่องจากทุกครั้งที่จะขยายธุรกิจย่อมจะหนีไม่พ้นเรื่องของการเพิ่มคน และการลงทุนเพิ่มในทรัพย์สิน ทำให้การขยายตัวเป็นไปได้ช้า ส่วนหนึ่งเพราะต้องรอกำไรจากผลประกอบการจึงจะนำเอามาลงทุนเพิ่ม ทำให้ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป

Startup : เติบโตอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด ภายในระยะเวลาอันสั้น

5.  สิทธิประโยชน์ทางภาษี

SMEs :          อัตราภาษี ของ SME
กำไรสุทธิ                   3  แสนบาทแรก           ยกเว้นภาษี     
กำไรสุทธิไม่เกิน            3 ล้านบาท            จะเสียภาษีในอัตรา 15% 
กำไรสุทธิมากกว่า          3 ล้านบาท            จะเสียภาษีในอัตรา 20%

เงื่อนไข : ต้องมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร ดังนี้ 

     1.    ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท
     2.    มีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท

Startup :    ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล  5 รอบระยะเวลาบัญชี

 

เงื่อนไข :  ต้องมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร ดังนี้ 

1. จดทะเบียนจัดตั้ง ตั้งแต่  1 ตุลาคม 58 -  31 ธันวาคม 63 และยื่นคำขออนุมัติเป็น New Startup ภายในวันที่  31 ธันวาคม 64
2.มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจเท่านั้น (ท้องที่จังหวัด นราธิวาส ปัตตานี ยะลา)
3.มีทุนชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ไม่เกิน 5 ล้านบาทและมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท  
4.มีรายได้จากการประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย ไม่น้อยกว่าร้อยละ  80 ของรายได้ทั้งหมด



 



5 เรื่องที่ผู้ประกอบการต้องรู้ ถ้าจะมีหุ้นส่วนทางธุรกิจ!!!! 

การเลือกหุ้นส่วนธุรกิจ ก็เหมือนการเลือกหุ้นส่วนชีวิตซึ่งหมายถึงว่าเราจะต้องร่วมทางกับเขาไปอีกนานแสนนาน  ดังนั้นเราจะต้องรู้จักอีกฝ่ายให้ดี
ต้องเรียนรู้นิสัยใจคอ และมีแนวคิดและเป้าหมายเดียวกัน
จึงจะไปต่อด้วยกันได้
   เพราะถ้าเลือกไม่ดีไม่รู้จักกันมากพอ หรือเลือกหุ้นส่วนผิด
จะเกิดปัญหาวุ่นวายตามมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ ไม่ลงตัว การทุจริตหักหลังกัน ทะเลาะกันจนเสียเพื่อนไปก็มีให้เห็นกันอยู่เยอะ 


การทำธุรกิจกับเพื่อน  จึงมีเรื่องที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจอะไรบ้าง

 1. มีเป้าหมายเดียวกัน 
   การทำธุรกิจร่วมกันเป็นเรื่องของการร่วมมือกัน จึงสำคัญมากที่คุณจะต้องมีวิสัยทัศน์ ร่วมกันตั้งแต่วันแรก เพื่อให้มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
   และมีมุมมองเดียวกันว่าจะไปสู่เป้าหมายนั้นได้อย่างไร เมื่อคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนมันก็จะง่ายขึ้นในการทำเป้าหมายนั้นให้เป็นจริงร่วมกัน

 

 2. แบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน
   
ต้องแบ่งหน้าที่การทำงานให้ชัดเจนว่า ใครรับผิดชอบเรื่องอะไร  โดยดูจากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของแต่ละคน คุณอาจจะเก่ง
   เรื่องการตลาด เก่งในด้านการขาย เหมาะกับการพบปะลูกค้า ในขณะเดียวกันหุ้นส่วนของคุณ อาจจะมีประสบการณ์ในการทำบัญชีเก่งใน
   เรื่องการเงิน และตัวเลขมากกว่าคุณ การแบ่งหน้าที่การทำงานก็จะง่ายขึ้น เพราะคุณเองก็รู้อยู่แล้วว่าหน้าที่ไหน ที่ใครจะสามารถจัดการ
   ได้ดีกว่าแถมยังเป็นการนำความรู้เฉพาะทาง ของแต่ละคนมาช่วยกันทำธุรกิจด้วย

 

 3. ตัดสินใจร่วมกันและรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น

   3.1  หุ้นส่วนควรจะเป็นคนที่ช่วยทำให้การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
   3.2 หุ้นส่วนจะต้องเห็นพ้องต้องกัน เวลาผลลัพธ์ออกมาไม่ดี ก็จะได้ไม่ต้องโทษกันและกัน 
   3.3 เวลามีความคิดเห็นไม่ตรงกัน คุณต้องหาวิธีพูดคุยแบบประนีประนอมเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งกัน
   3.4 หากคุณมีหุ้นส่วนมากกว่า 2 คน เวลาตัดสินใจอะไร ก็ให้ใช้วิธีโหวตคะเเนนเสียง

 

 4. มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน  
   ความสัมพันธ์ที่ดีจะขึ้นอยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจ ถ้าคุณไม่ไว้วางใจหรือไม่มั่นใจในตัวของหุ้นส่วน ทางที่ดีก็อย่าร่วมหุ้นกับคนๆ นั้นเลย
   เพราะถ้าร่วมงานกันแล้วมัวแต่ระแวงสงสัยเช็คทุกเรื่อง มันจะทำให้ธุรกิจของคุณเกิดความเสี่ยงขึ้นได้


 5. ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร
       สิ่งที่สำคัญมาก คือ ควรมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ให้ชัดเจน ตั้งแต่ต้นด้วย เช่น สัดส่วนการลงทุน จะลงทุนเท่าไร??
แบ่งผลประโยชน์อย่างไร??  ซึ่งในโลกของการทำธุรกิจนั้น “ไม่มีสัญญาใจ” นะคะ